การแก้ปัญหาและพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย

PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย Administrator   
วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2012 เวลา 17:05 น.

การแก้ปัญหาและพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย

Routine to Research,R2R

บทนำ

หลายคนที่สนใจการทำวิจัยแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ตรงไหน เรื่องอะไร คำตอบที่น่าจะเหมาะสมหนึ่งก็คือ เริ่มต้นที่ปัญหางานของเรานี่แหละ ตั้งคำถามวิจัยขึ้นมาแล้วค้นคว้าหาคำตอบ แล้วสุดท้ายนำความรู้ที่ได้นั้นมาแก้ปัญหาในงานของเราเอง เราก็จะได้ทั้งงานวิจัยและการแก้ปัญหาหน้างานของเราด้วย เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

 

R2R  กับความหมายที่แยบยล

            หมายถึง การศึกษาหรือทำวิจัยด้วยระเบียบวิจัยมาตรฐานโดยมีคำถามวิจัยจากงานประจำ เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่และนำความรู้นั้นมาแก้ปัญหาหน้างานของตัวเอง ส่งผลให้ผู้วิจัยทำงานได้มีคุณภาพดีขึ้นและเกิดความสุขในการทำงาน R2R แท้จริงแล้วเป็น concept ที่ชาญฉลาดและแยบยลในการเลี่ยงคำว่าวิจัยโดยตรง เปิดโอกาสให้บุคลากรทุกหน่วยงานสามารถทำงานวิจัยได้ ดังนั้น R2R จึงเปรียบเสมือนเครื่องมือหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพงาน โดยผลงานการทำวิจัยก็ใช้ระเบียบวิจัยตามมาตรฐานทั่วไปเช่นกัน ไม่ใช่งานวิจัยชั้นสิองแต่อย่างใด

จากที่กล่าวมาข้างต้น จะพบว่า R2R มีคำสำคัญ (Key word) ที่น่าสนใจอยู่หลายคำ ได้แก่

  • งานวิจัยขึ้นห้าง ไม่ใช่ขึ้นหิ้ง หมายถึงผลงานการศึกษามาใช้แก้ปัญหางานประจำได้จริง
  • สหสาขา หมายถึงมีการร่วมมือกันจากหลายสาขาวิชาชีพมาแก้ปัญหาด้วยงานวิจัยเดียวกัน
  • ความสุข หมายถึงเน้นความสุขที่ปลายอุโมงค์ของผู้ทำวิจัยเอง ทำงานได้สนุก เป็นสุขกับการทำงาน
  • สรุป concept ของสิ่งที่ R2R เป็นหรือใช่และไม่ใช่ ได้ดังนี้

 

R2R …เป็น

  • เป็นงานวิจัย ที่มีหลักการทางวิชาการที่เป็นวิทยาศาสตร์และสังคมสาสตร์ ที่ใช้ในทางการแพทย์และพยาบาล โดยมีคุณภาพของงานวิจัยที่แตกต่างกันไปตามเนื้อหาและระเบียบวิธีวิจัย
  • เป็นการทำงานวิจัยโดยหยิบยกประเด็นปัญหาหรือคำถามวิจัยมาจากงานประจำเพื่อนำไปแก้ปัญหางานประจำนั้นๆ
  • เป็นการเปลี่ยนมุมของการทำงานที่เดิมเคยถูกมองว่าเป็นเรื่องยาก  เป็นเรื่องของนักวิชาการ เท่านั้น มาเป็นงานที่ผู้ปฏิบัติงานหรือคนหน้างานทุกคนก็ทำได้
  • เป็นการเปิดช่องทางสว่างให้ผู้ทำงานที่อาจจะมีความทุกข์กับงาน ได้มองเห็นหนทางการทำงานอย่างมรความสุข ด้วยการแก้ปัญหาของตัวเองด้วยตัวเองก่อน เฉกเช่นที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนเราว่าทุกข์นั้นเกิดกับเรา เราต้องเป็นผู้ดับมันเองก่อน เช่นนั้นและ
  • เป็นการเพิ่มศักยภาพของผู้ทำงาน ด้านความรู้ ความสมารถ ได้พันธมิตรที่สร้างผลประโยชน์ร่วมกัน และอาจเปลี่ยนเป็นกัลยาณมิตรที่ไม่หวังผลประโยชน์ต่อกันในที่สุด(ของปลายสายรุ้ง)

 

R2R ไม่ใช่

  • ไม่ใช่ระเบียบวิธีวิจัย เพราะฉะนั้นอย่านำไปเขียนในวิธีวิจัยเด็ดขาด
  • ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่เรียนปริญญาโทหรือเรียนวิจัยมาเท่านั้น ถึงจะได้ ผู้ที่ไม่มีความรู้ทางวิจัยสามารถหาที่ปรึกษาได้ ถ้าไม่ท้อเสียก่อน ( ข้อแนะนำที่เป็นความลับข้อหนึ่ง ในระหว่างการทำวิจัยให้งดผลไม้ดังนี้ ลูกท้อ แห้ว อย่างเด็ดขาด)
  • ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินทุนแล้วทำจะทำงานวิจัยไม่ได เพราะงานวิจัยส่วนใหญ่ของคนหน้างานไม่ได้ใช้แรงเงินมากนัก แต่แรงกายและแรงใจต่างหากที่สำคัญ
  • ไม่ใช่เครื่องมือสำหรับการทำวิจัยเพื่อปรับขั้นเงินเดือน หรือตำแหน่งทางวิชาการ เพราะถ้าคิดอย่างนี้เป็นวัตถุประสงค์หลักก็จะไม่เกิดความสุขในการทำงานที่ยั่งยืน ( คนพันธุ์ R2R จะทำวิจัย ทำแล้ว ทำอีก)
  • ไม่ใช่การแก้ปัญหาในงานทุกงาน  ต้องใช้เครื่องมือ R2R ซึ่งเป็นการสร้างองค์ความรู้ใหม่หรือแตกแขนงความรู้เดิม เพราะบ่อยครั้งที่มีวิธีที่แก้ปัญหาได้ง่ายๆโดยการเปิดตรา ถามผู้ที่มีประสบการณ์การปฏิบัติงานอย่างตั้งใจตามระเบียบหรือหลักการที่ดีอยู่แล้วเท่านั้นก็แก้ปัญหาและเกิดความสุขในงานได้แล้ว

R2R ต่างกับ CQI ตรงไหน

            หลายคนคงมีปัญหาสงสัยว่างานที่ทำอยู่เป็นงานวิจัย R2R หรือยัง? หรือหลายคนยังเข้าใจคลาดเคลื่อนว่างานที่ทำอยู่เป็นงานวิจัย R2R แล้วและอกหลายคนกลับยังไม่รู้ตัวว่างานที่ทำอยู่เป็น R2R ได้แล้วหรือเพียงแค่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเท่านั้น  บทความนี้จะเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองให้เห็นความแตกต่างระหว่าง CQI กับ R2R หรือให้เห็นว่าแต่ละชนิดนั้นมีประเด็นที่สำคัญคืออะไร โดยเรามาเริ่มจากคำนิยามในเชิงปฏิบัติของแต่ละอย่าง

Continouns Quality Improvement(CQI)

            คำว่า CQI อาจจะแปลตรงตัวเป็นภาษาไทยว่า การพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง มีความหมายในเชิงหลักการหรือในเชิงวิธีการ ใยเชิงหลักการแล้ว CQI จะมีความหมายใกล้เคียง  Total Quality Management (TQM) คือการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และความคิดสร้างสรรค์ในการปรับปรุงระบบงานเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้รับผลงานอย่างไม่หยุดยั้ง โดยมุ่งไปสู่ความเป็นเลิศ ดังนั้นเราก็น่าจะรู้อยู่แล้วหรือคาดเดาได้ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ต้องดี เพียงแต่ว่าจะดีแค่ไหนเท่านั้นเอง คำนิยามภาษาอังกฤษ ก็มีคนนำเสนอดังนี้

            CQI    is  an  analytical  decision  making  tool  which  allows   you  to  see  when  a  process  is working  predictably  and  when  it  is  not. Variation  is  present  in  any  process, deciding  when  key  to quality  control.

(เป็นเสมือนเครื่องมือสำหรับช่วยการวิเคราะห์ตัดสินใจในกระบวนการทำงานที่สามรถคาดการณ์ล่วงหน้าไว้ได้ เนื่องจากมีความหลากหลายของกระบวนการทำงาน  จึงเป็นปกติอยู่องที่จะต้องมีการตัดสินใจอยู่เสมอว่าจะเลือกแบบไหนที่เหมาะสม ที่ดีที่สุดมาใช้ หรือแก้ไขกระบวนการใดเพื่อให้ได้คุณภาพที่ต้องการมากที่สุด)

ขั้นตอนของ CQI

ขั้นตอนของการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องคือการใช้แนวคิด Plan-Do-Check-Act (PDCA)คล้ายกับการออกแบบทดลองหรือกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาใช่ร่วมกับความคิดสร้างสรรค์

  • Plan คือการวางแผนทำเพื่อแก้ปัญหาโดยอาศัยข้อมูลที่มี
  • Do คือการนำความคิดดังกล่าวไปปฏิบัติ
  • Check คือการวัดผลการปฏิบัติดังกล่าว
  • Act คือการนำผลไมปฏิบัติในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ

            ในขั้น  Plan นั้นอาจจะมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นเพื่อให้กำหนดความคิดที่แก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม ได้แก่

  1. 1.การวิเคราะห์สภาพปัญหา ว่าปัญหาเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไร กับใคร อย่างไร มีกระบวนการอะไรที่เกี่ยวข้อง
  2. 2.การวิเคราะห์ระดับของปัญหา สามารถวัดข้อมูลที่สะท้อนระดับของปัญหาได้ด้วยวิธีใด
  3. 3.การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา อะไรคือสาเหตุหลักของการเกิดปัญหา สามารถวิเคราะห์ถึงสาเหตุรากเหง้าได้หรือไม่ มีข้อมูลประกอบหรือไม่ว่าสาเหตุใดเป็นสาเหตุสำคัญ
  4. 4.การวิเคราะห์ทางเลือกในการแก้ปัญหา เป็นการนำสาเหตุ รากเหง้าที่สำคัญมาวิเคราะห์ว่าจะลดหรือขจัดออกไปได้อย่างไร โดยอาศัยแนวคิดเชิงกลยุทธ์และความคิดสร้างสรรค์ประกอบกัน ทางเลือกในการแก้ปัญหาอาจมีหลายทางเลือก  อาจจะใช้ร่วมกัน หรืออาจจะต้องวิเคราะห์เปรียบเทียนเพื่อเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้ทางเลือกแล้ว ยังต้องวิเคราะห์ที่แรงหนุนและแรงต้านของผู้เกี่ยวข้องเพื่อวางแผนลดแรงต้านและใช้แรงหนุนให้เป็นประโยชน์

 

            ขั้นตอนข้างต้นนี้เป็นกระบวนการสากลซึ่งปรากฏอยู่ในการพัฒนาหรือการแก้ปัญหาทุกเรื่องการดูแลรักษาผู้ป่วย ประกอบด้วยการประเมินปัญหาของผู้ป่วย การวิเคราะห์สาเหตุ การสั่งการรักษา การติดตามประเมินผล รูปแบบนี้มีองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วนคือ

  1. 1.คำถามพื้นฐาน 3 ข้อ ซึ่งอาจจะสลับคำถามข้อใดก่อนก็ได้  ได้แก่
  • ตั้งเป้า (Set aim) อะไรคือสิ่งที่เราพยายามจะทำให้เสร็จ
  • เฝ้าดู(establish measure)  ใช้ตัวชี้วัดใดบอกว่าผลดีขึ้น
  • ปรับเปลี่ยน(develop changes) การเปลี่ยนแปลงใดบ้างที่จะทำให้คุณภาพดีขึ้น
  1. 2.การนำวงล้อ  PDCA หรือ PDSA โดย  S หมายถึง  study มาศึกษาทางเลือกในการเปลี่ยนแปลง
  • Plan กำหนดวัตถุประสงค์ของการทดสอบ,คาการณว่าจะเกิดอะไรขึ้น พร้อมทั้งเหตุผล,จัดทำแผนการทดสอบ
  • Do ดำเนินการทดสอบ,บันทึกปัญหาและสิ่งที่ไม่คาดว่าจะเกิดขึ้น
  • Study
  • Act สรุปผลว่าควรมีการปรับเปลี่ยนอย่างไร,เตรียมแผนสำหรบการทดสอบรอบต่อไป

            นอกจากการจำ PDSA, PDCA แล้วยังมีผู้คิดคำย่ออื่นๆอีก เช่น FOCUS ดังนี้

  • F         Find  a  process  that  needs improvement (หากกระบวนการที่จะมาใช้ปรับปรุงคุณภาพ)
  • O        Organize  a  team  knowledgeable about the process(มีการบริหารจัดการทีมด้วยความรู้ตามหลักวิชาการ
  • C         Clarity the knowledge about the process(ระบุกระบวนการการแก้ปัญหาให้ชัดเจนตามหลักวิการ
  • U         Understand  the  causes  of  variations in  the  process(ศึกษาให้เข้าใจสาเหตุและความหลากหลายของปัญหาและกระบวนการแก้ปัญหา
    • S         Select the improvement(เลือกสิ่งที่ต้องการพัฒนาและวัดผล)

R2R กับ CQI เหมือนและแตกต่างไฉน ?

            ต่อไปนี้เป็นการรวบรวมผลการสำรวจความเห็นจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับความเห็นในประเด็นนี้รวมถึงเรื่อง Knowledge  management (KM)ด้วยจากคนหลากหลายที่ เขียนลงใน internet ดังนี้

  • R2R ต้องผ่านคณะกรรมการวิจัย,ต้องใช้ระเบียบวิธีวิจัย,ต้องพิสูจน์ให้ได้หลักฐานเชิงประจักษ์
  • เป็นอะไรที่คล้ายคลึงกัน แต่ต่างกันที่ การทบทวนของ CQI จะน้อยกว่า การเก็บข้อมูลจะมีความน่าเชื่อถือน้อยกว่า แต่มีความรวดเร็วในการแก้ปัญหาเฉพาะ ส่วนงานวิจัยมีการทบทวนวรรณกรรมมากว่า จีการบริหารจัดการที่เป็นระบบมากกว่า CQI, KM   และต้องมีแนวคิด,ทฤษฎีมาอ้างอิงที่ชัดเจนกว่า (ขั้นสูงกว่า CQI, KM)  สามารถลงวารสารที่รับตีพิมพ์มีประโยชน์เชิงวิชาชีพ มีการรับรองทางจริยธรรม
    • สัมพันธ์กันโดยต่างกันก็เป็นเรื่องการจัดการความรู้
    • R2R  ต่างจาก CQI , KM ที่การเก็บข้อมูล  R2R ต้องมีการจัดทำข้อมูล  ค้นคว้างานที่เกี่ยวข้องมากกว่า
    • R2R  ต้องมาจากปัญหาในหน่วยงาน ทำเพื่อพัฒนางานแล้วนำมาใช้ในหน่วยงาน, ส่วน KM ใช้ได้เลย ไม่ต้องทำวิจัย,CQI เป็นพื้นฐานในการทำ R2R
    • ต่างกัน  KM เป็นเครื่องมือในการได้มาซึ่ง CQI และเมื่อได้  CQI แล้วเก็บข้อมูลเพื่อทำเป็น R2R     KM   เป็นการนำความรู้จาก CQI มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทำงานและผลการศึกษา สัมพันธ์กันคือ R2R เป็นส่วนหนึ่งของ CQI โดยใช้ KM เป็นกระบวนการหนึ่งเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ขึ้น
    • R2R คือ กระบวนการคิดอย่างเป็นระบบมีรูปแบบชัดเจน มีข้อมูลอ้างอิงประกอบ มีคำตอบโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ ส่วน CQI เป็นการพัฒนางาน
    • R2R เกิดจาก CQI ได้ผลลัพธ์แล้ว KM
    • R2R ต้องใช้ระเบียบวิธีวิจัย แก้ปัญหาจากงานประจำ ต่อยอดจาก CQI และKM
    • CQI ใช้PDCA ส่วนKM นำองค์ความรู้เดิมมาใช้
    • R2R เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆที่นำไปใช้ในงานประจำได้
    • R2R  มีระเบียบวิธีวิจัย และมีการรวบรวมสถิติข้อมูล เป็นระบบ R2R
      • R2R  เป็นการทำงานประจำสู่งานวิจัย ต้องมีคำถามวิจัย คือสิ่งที่เราอยากทำให้เกิดความรู้ใหม่ ส่วน CQI คือการทำงานและพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ KM เป็นการนำความรู้สู่การปฏิบัติ
      • R2R ต่างกัน CQI และ KM ดังนี้ ต่างจาก CQI เนื่องจาก R2R เป็นการใช้ระเบียบวิธีวิจัย แต่ CQI ไม่ต้องใช้ระเบียบวิธีวิจัยก็ได้
      • R2R ต่างจาก CQI แต่มีกระบวนการของการวิจัยที่รูปแบบคล้ายกัน แต่ R2R ได้ผลที่น่าเชื่อถือ ไม่ใช่แค่ผลสำเร็จเหมือน CQI      
      • ไม่ต่างกัน เพราะทำให้เราฉลาดและแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ
      • R2R คือ กรเรียนรู้อย่างเป็นระบบ ซึ่งมี CQI และKM เป็น ส่วนประกอบ
        • R2R ,KM, CQI  มีความสัมพันธ์ในลักษณะเป็นวงจร ที่ทิศทางมุ่งพัฒนางานให้ดีขึ้น ต่างกันที่ระเบียบวิธีวิจัย  R2R สามารถให้  CQI  และ KM มาทบทวนพัฒนาต่อยอด

            จากการมองภาพรวมเครื่องมือ 2 ชนิด ดังกล่าวข้างต้น จึงพอสรุปได้ดังนี้

สิ่งที่แตกต่าง

  •    CQI  น่าจะเป็นกระบวนการปฏิบัติทีคาดการณ์ได้ว่าจะทำให้ดีขึ้นเสมอ  ตามชื่อที่ตั้งขึ้น โดยการรวบรวมข้อมูลและองค์ความรู้ที่มีอยู่แต่ R2R  เป็นกระบวนการวิจัย เป็นการสร้างองค์ความรู้ใหม่ผลการศึกษาเป็นไปได้ทั้งบวกและลบหรือไม่เปลี่ยนแปลงก็ได้ กระบวนการวิจัยจะเป็นตัวตอบสมมุติฐาน  เมื่อพิจารณาดูแล้ว R2R น่าจะเป็นการ uprgade งาน CQI ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
  •   R2R น่าจะทำได้ยากหรือซับซ้อนกว่า CQI เพราะมีระเบียบวิจัยที่เป็นสากลเป็นตัวกำหนด ว่าผลจะเชื่อจะเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด
  •  R2R มีคำถามวิจัยที่ชัดเจน แต่ CQI อาจจะเป็นแค่จุดมุ่งหมายหรือผลสำเร็จที่คาดหวังอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ทราบจำนวนเท่าไร จะถึงเป้าหมายที่กำหนดหรือไม่
  •   R2R  เน้นความสุขของผู้ปฏิบัติงานเป็นหลัก  และมีผลพลอยได้เป็นงานวิจัย ส่วน CQI เน้น ผลงานทีได้เป็นหลัก เพื่อได้ตัวชี้วัดที่บ่งบอกลงานที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น ผู้ปฏิบัติอาจจะคิดว่าเป็นภาระงานก็ได้

สิ่งที่เหมือน

  •  มีกระบวนการที่คล้ายกัน โดยเริ่มจากมองหาปัญหาและวางแผน มีการทบทวนความรู้หรือวรรณกรรม มีการดำเนินการหรือการทำวิจัยศึกษามีการสรุปผลและนำไปประยุกต์ใช้
  •  เป้าหมายหลักเพื่อการพัฒนางานให้มีคุณภาพสู่ความยั่งยืนเหมือนกัน
  •  เกิดการทำงานเป็นทีม

            คิดว่าเราคงพอจะเห็นประเด็นเด่นๆของ CQI และ R2R กันบ้างอย่างไรก็ตาม ในกระบวนการของการพัฒนาคุณภาพ เราส่งเสริมให้มีการใช้เครื่องมือทั้งสองอย่าง เพียงแต่ว่ารู้จักใช้ให้เหมาะสมเท่านั้น

 

 

 

 

 

แก้ไขล่าสุด ( วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2012 เวลา 17:08 น. )
 
free pokereverest poker revie
Contact us ได้ที่ researchyala@hotmail.com
ผู้ประสานงาน : พรส. โทร 526 . 276